https://courseantiaging.blogspot.com/google.com,%20pub-3791389710662192,%20DIRECT,%20f08c47fec0942fa0 9 สุดยอดผลไม้กากใยสูงแก้ท้องผูก

โพสต์แนะนำ

9 สุดยอดผลไม้กากใยสูงแก้ท้องผูก

หมดปัญหาท้องผูก! ด้วย 9 สุดยอดผลไม้กากใยสูง ทานปั๊บ พุงยุบแน่นอน

คุณกำลังประสบปัญหานี้อยู่ใช่ไหม? อึดอัด แน่นท้อง อาหารไม่ย่อย ผายลมบ่อย ไม่ได้ปลดปล่อยเกิน 3 วัน OMG!! โอ้วพระเจ้า ปัญหาเหล่านี้ซาร่ากับจอร์จคงช่วยไม่ไหวแน่ ๆ เพราะถ้าปล่อยไว้นานเกินไป อาจมีริซซี่ (โรคริดสีดวงทวาร) ถามหาได้ น้องแพร์รี่ว่าต้องเริ่มต้นดูแลตัวเองกันหน่อยแล้ว
อ๊ะ ๆ ใครไม่ได้ถ่ายมาแล้วมากกว่า 3 วัน 7 วัน ยกมือขึ้น!! อย่านิ่งนอนใจไปนะคะ เพราะว่า อาการท้องผูก(Constipation) เป็นปัญหาที่เกิดได้กับทุกเพศทุกวัย ยิ่งพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันที่เร่งรีบในยุคนี้ ยิ่งทำให้มีประชากรประสบปัญหาท้องผูกได้ง่าย นอกจากตอนถ่ายจะไม่สบายกาย แถมอยู่ใกล้ ๆ คนอื่นอาจจะไม่สบายใจ เพราะยิ่งเราหมักหมมของเสียไว้นานเท่าไหร่ ร่างกายก็ยิ่งมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ตามมา
แต่ถ้าเรารู้จักจัดสรรการทานอาหารโดยแบ่งเป็นผักผลไม้ หรือตัวช่วยอย่างผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่มีไฟเบอร์ ก็ช่วยให้เราห่างไกลจากท้องผูกได้ค่ะ

ผลไม้ที่มีกากใย ทานง่าย อร่อยด้วย ช่วยบรรเทาอาการท้องผูก มีอะไรบ้าง

แอปเปิ้ล
1. แอปเปิ้ล
แอปเปิ้ลช่วยเพิ่มกากใยให้กับทางเดินอาหาร จึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบขับถ่ายให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น นักวิจัยพบว่าคนที่ทานแอปเปิ้ลเป็นอาหารเรียกน้ำย่อยก่อนกินมื้อหนัก 15 นาที ได้รับพลังงานจากอาหารเฉลี่ย 182 แคลอรี่ซึ่งน้อยกว่าคนที่ไม่ได้กิน แอปเปิ้ลมีกากใยสูงจะเติมช่องว่างในกระเพาะ ช่วยให้คุณกินอาหารหลักได้น้อยลง เพียงแค่จัดลำดับการกินอาหารก็สามารถช่วยลดน้ำหนักได้ง่าย ๆ อีกด้วย 
มะละกอ
2. มะละกอ
มะละกอสุกเนื้อหวานฉ่ำ มีประโยชน์มากมาย ช่วยเสริมสุขภาพ บำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส เพราะมะละกอสุกมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อน ๆ จึงช่วยระบบการขับถ่ายให้เป็นไปตามปกติ แต่ที่มากกว่านั้น ก็คือ มะละกอช่วยเร่งการเผาผลาญ สลายไขมันส่วนเกินออกจากร่างกาย มีเอนไซม์ที่ช่วยย่อยโปรตีน ลดความร้อนส่วนเกินในร่างกาย ซึ่งมีผลในการช่วยลดน้ำหนัก
กล้วย
3. กล้วย
กล้วยอุดมไปด้วยไฟเบอร์ซึ่งเป็นสารอาหารที่ดีต่อระบบขับถ่าย โดยจะช่วยให้คุณขับถ่ายได้สะดวกขึ้น นอกจากนี้กล้วยยังมี สารเพกติน (Pectin) ที่ช่วยป้องกันการเกิด อาการท้องผูก รวมถึงช่วยให้การย่อยอาหารดีขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นกล้วยยังมีสรรพคุณช่วยลดกรดในกระเพาะอาหาร จึงสามารถป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหารได้ ทานง่าย อร่อยด้วย ต้องกล้วยน้ำว้า
ส้ม
4. ส้ม
นอกจากวิตามินซีในส้มจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ปราศจากโรคหวัด ลดระดับอินซูลินแล้ว ถ้าทานส้มแบบทั้งกากใย จะช่วยเรื่องระบบขับถ่ายได้เป็นอย่างดี หลาย ๆ คนอาจจะไม่ชอบกากส้ม แต่หารู้ไม่ว่านั่นแหละที่จะช่วยให้คุณขับถ่ายคล่องขึ้น อย่าลืมทานดูนะคะ
มะม่วง
5. มะม่วง
มีไฟเบอร์ในการช่วยย่อยอาหาร เผาผลาญพลังงานส่วนเกินทำให้หมดอาการท้องผูก ช่วยทำให้อุจจาระอ่อนนุ่มขึ้น นอกจากนี้มะม่วงสุกยังมีวิตามินซีสูง และยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินเอ เบต้าแคโรทีน ที่ช่วยในเรื่องของการบำรุงสายตา
แตงโม
6. แตงโม
ลูกโต ๆ รสหวานของแตงโม ไม่ได้มีแค่ความชุ่มฉ่ำเพียงอย่างเดียว แตงโมมีคุณค่าทางสารอาหารอีกมากมาย เหมาะสำหรับคนที่รักสุขภาพต้องการควบคุมน้ำหนัก ถ้าคุณกินแตงโมก็จะสนองทั้งความกระหายน้ำและความหิวได้ และยังช่วยให้ขับถ่ายคล่องอีกด้วย
มะขาม
7. มะขาม
ที่สุดแห่งความฮิต ทั้งหาทานง่ายแถมช่วยระบายได้ดีแบบจี๊ดสะปรู๊ด จู๊ดสะปร๊าด แต่ด้วยความรุนแรงระดับ 10 อาจทำให้เราท้องเสียจนควบคุมไม่ได้ เดี๋ยวจะเพลียเอาจ้า ดังนั้นควรทานแต่น้อย ๆ ไม่ทานเอาอร่อยนะคะ
แคนตาลูป
8. แคนตาลูป
เป็นผลไม้คู่หูของชาวออฟฟิศเลยก็ว่าได้เพราะหาซื้อง่ายตามรถเข็นขายผลไม้หรือแผงขายผลไม้เล็ก ๆ ในแคนตาลูป 1 ถุง (หั่นเป็นชิ้นพร้อมกิน) ให้พลังงานแค่ 30-40 แคลอรี รสชาติทั้งหอมหวานและชุ่มฉ่ำ กินแล้วสดชื่นขับไล่ความง่วงยามบ่ายได้ชะงัดแถมไม่อ้วนด้วย ซึ่งในเนื้อแคนตาลูปมีสารอาหารเพียบ! จำพวกโพแทสเซียม วิตามินต่าง ๆ โฟเลต แคลเซียม โครเมียม สารเบต้าแคโรทีน เป็นต้น มีสารต้านมะเร็ง กากใยอาหารสูง แคลอรีต่ำ เหมาะมากกับคนกำลังลดน้ำหนัก
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ รูปสับปะรด
9. สัปปะรด
ผลไม้รสหวาน ๆ เปรี้ยว ๆ ที่หาทานได้ง่ายอย่างสัปปะรดช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในระบบขับถ่ายได้ดี และยังช่วยย่อยอาหารจำพวกโปรตีนอีกด้วย แต่ระวัง! ถ้าทานเยอะไปสัปปะรดจะกัดลิ้นด้วยนะคะ ไม่ใช่ว่าสัปปะรดมีฟัน แต่เพราะในสับปะรดมีเอนไซม์ที่ชื่อว่าโบรมีเลน (Bromelain) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่มีฤทธิ์ย่อยสลายโปรตีน ลิ้นของเราก็โปรตีนเคลือบอยู่ ดังนั้นเวลาทานสัปปะรดจึงรู้สึกแสบลิ้นนั่นเอง 

เกร็ดความรู้

รู้หรือไม่? การทานอาหารทำให้เกิดการท้องเสีย หรือการดีท็อกลำไส้บ่อยๆ จนเกินความจำเป็น ถ้าไม่ระมัดระวัง อาจทำให้รู้สึกเหนื่อยอ่อน ปวดหัว เนื่องมาจากร่างกายปรับตัวไม่ทัน และยังเป็นการลดปริมาณแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในลำไส้ออกไปด้วย หากร่างกายขาดแบคทีเรียกลุ่มดีที่อยู่ในลำไส้ ก็จะส่งผลร้ายต่อร่างกายในหลายๆ อย่าง ทั้งเรื่องระบบการย่อยอาหาร และระบบภูมิคุ้มกันเชื้อโรค
ขอบคุณแหล่งข้อมูลนี้จากเวป : parrythailand

ไม่มีความคิดเห็น: